ฮันบก ชุดประจำชาติเกาหลี
ฮันบก (한복)
คือชุดแต่งกายประจำชาติแบบดั้งเดิมของเกาหลี
สืบเนื่องมาเป็นเวลาหลายพันปี การแต่งกายของเกาหลี
โดดเด่นด้วยสีสันสดใสและลวดลายที่เรียบง่าย
องค์ประกอบหลักๆของชุดฮันบกได้แก่
- “저고리- Jeogori (ชอกอรี)” : เสื้อ
- “바지- Baji (พาจี)” : กางเกง
-
“치마-
Chi ma (ชีมา)” : กระโปรง
ผ้าที่นำมาใช้ตัดชุด
“ฮันบก” มีอยู่มากมายหลายชนิดด้วยกัน
ได้แก่ ผ้าป่าน ผ้าฝ้าย ผ้ามัสลิน ผ้าไหม ผ้าแพร การเลือกชนิดของผ้าในการตัดเย็บ
จะเลือกโดยคำนึงถึงสภาพภูมิอากาศ เช่น
ชุดฮันบกที่จะสวมใส่ในฤดูหนาวมักใช้ผ้าที่ทอจากฝ้าย เป็นต้น
ประวัติของชุดฮันบก
ประวัติของชุดฮันบก:
ตามหลักฐานในประวัติศาสตร์นักโบราณคดีเชื่อว่ารูปแบบเครื่องแต่งกายของคนเกาหลี
มาจากเครื่องแต่งกายของพวกไซเธียนในช่วงยุคสำริด
1) อาณาจักรโคกูรยอ (37 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ.668) หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุด ที่ทำให้นักโบราณคดีได้ข้อมูลใหม่ๆ และทราบถึงต้นกำเนิดของชุดฮันบก
ก็คือ หลักฐานจากหลุมฝังศพและภาพจิตรกรรมฝาผนังจากสมัยโคกูรยอ (3 -8 ปีก่อนคริสตกาล) ที่แสดงให้เห็นถึงรูปแบบของเครื่องแต่งกายของคนเกาหลีในสมัยนั้นได้อย่างชัดเจน ซึ่งมีรูปแบบการแต่งกายที่เหมือนกับพวกชนเผ่าเร่ร่อนแถบเอเชียเหนือทั่วๆไป
ในสมัยอาณาจักรโคกูรยอตอนต้น
ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงต่างก็สวมเสื้อคลุมที่เรียกว่า ‘ชอกอรี’ (ยู,襦) โดยตัวเสื้อจะยาวเลยเอวลงมา
จะคาดและผูกด้วยเชือกไหมหรือแถบคาดรอบเอว และสวมกางเกงขายาว ที่เรียกว่า ‘บาจี’ (โก,袴) ที่ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่
จะแตกต่างกันก็เพียงแค่การจัดแต่งทรงผม และต่อมาผู้หญิงเริ่มที่จะมีการสวมใส่กระโปรงมีจีบรวบตัว
เรียกว่า ชีมา (Sang,裳หรือ Gun,裙)
ทับกางเกงอีกชั้นหนึ่งด้วย รูปแบบการแต่งกายในแต่ละระดับชนชั้นหรืออาชีพไม่ค่อยแตกต่างกันชัดเจนเท่าไหร่นัก
จะมีก็เพียงแค่ผู้ที่ทำงานใช้แรงมักจะสวมใส่เสื้อ
ชอกอรีที่สั้นกว่าและมีแขนที่กว้างมากกว่า เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในขณะที่ทำงาน
***เครื่องแต่งกายจากเรื่อง “จูมง” ปฐมกษัตริย์แห่งสมัยโคกูรยอ ซึ่งถือว่าไม่ตรงกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์เท่าใดนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องแต่งกายในราชสำนัก เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีสวมใส่มงกุฎ และการปักลวดลายบนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย
จากภาพจะเห็นเป็นรูปลายมังกร ดอกไม้และลวดลายที่ซับซ้อนซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีคะ
***เครื่องแต่งกายจากเรื่อง Sword and Flower ซึ่งตรงกับรัชสมัยของ
“พระเจ้ายองรยู” ในช่วงยุคโคกูรยอตอนปลาย ถือว่าค่อนข้างตรงกับหลักฐานความเป็นจริงมาก
2)
อาณาจักรแพ็กเจ (18 ปีก่อนคริสตกาล- ค.ศ. 660)
3)
ชิลลา (57 ปีก่อนคริสตกาล- ค.ศ.654) ชาวแพ็กเจและชิลลาก็สวมใส่เสื้อผ้าคล้ายๆกับ ชาวโคกูรยอ ไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก
จนตั้งแต่ช่วงกลาง-ปลายสมัยสามก๊กก็เริ่มมีการแบ่งเครื่องแต่งกายตามลำดับชนชั้น
และมีการสวมใส่มงกุฎ หมวกรูปกรวย
และหมวกประดับแตกแต่งด้วยขนนก เป็นต้น
- สมัยอาณาจักรโครยอ
(ค.ศ.918- ค.ศ.1392)
ขณะที่ชุดฮันบกลักษณะที่ปรากฏในปัจจุบันนั้น
ได้รับอิทธิพลมาจากมองโกล ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของชุดฮันบก เนื่องด้วยในราชวงศ์โครยอตอนปลายได้มีการทำสนธิสัญญาสันติภาพกับจักรวรรดิมองโกล
ในศตวรรษที่ 13 โดยการให้องค์ชายวังคี (น้องชายขององค์ชายวังยู ในเรื่อง Empress Ki) เสด็จไปเมืองปักกิ่งและอภิเษกกับองค์หญิงมองโกล
(**องค์หญิงโนกุก -노국대장공주) ซึ่งต่อมาพระองค์ได้กลับมาเสวยราชสมบัติเป็นพระเจ้าคงมินแห่งโครยอ
ส่งผลให้มีการรับเอาศิลปะ วัฒนธรรม รวมถึงรูปแบบของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย อย่างเสื้อชอกอรีของสตรีที่มีการออกแบบให้มีสัดส่วนที่ต่างไปจากเดิม
จุดสำคัญก็คือการปรับตัวเสื้อให้มีความยาวที่สั้นลง และแขนเสื้อที่ปรับให้แคบและเพิ่มให้มีความโค้งเล็กน้อย
และที่สำคัญคือมี “옷고름 –โอซโกรึม”
เพิ่มเข้ามาเพื่อใช้ผูกเสื้อให้ติดกันเป็นโบว์บริเวณหน้าอก แทนการใช้แถบชิ้นผ้าหรือเส้นไหมที่คาดทับเสื้อชอกอรีที่เอวเหมือนเมื่อก่อน
** "องค์หญิงโนกุก"
หรือมีชื่อในภาษามองโกเลียว่า "Borjigin
Budashiri" (ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็น
"สมเด็จพระราชินีโนกุกแทจาง") เป็นองค์หญิงจากมองโกลที่ถูกกำหนดให้อภิเษกกับองค์ชายวังคีแห่งโครยอ
ภายใต้สนธิสัญญาสันติภาพของมองโกลราชวงศ์หยวน
แม้ในตอนแรกทั้งสองจะอาศัยอยู่ที่ปักกิ่ง
แต่ต่อมาองค์ชายวังคีก็ได้กลับมาขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าคงมินแห่งโครยอ
และนี่..ทำให้อาณาจักรโครยอหรือเกาหลีในสมัยนั้นได้รับเอาเอกลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวมองโกลเข้ามา
เป็นบ่อเกิดที่สำคัญของรูปแบบชุดฮันบกในสมัยโชซอนต่อมาจนถึงทุกวันนี้
แม้ว่าพระนางจะเป็นองค์หญิงมองโกลแต่พระนางก็สนับสนุนโครยอและสามีของพระนางเสมอมา
และหลังจากอภิเษกมา 15 ปี พระนางก็ได้ทรงพระครรภ์ แต่จากภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการคลอดบุตรทำให้พระนางเสียชีวิตลงในปี
1365
- สมัยอาณาจักรโชซอน
(ค.ศ.1392-1910)
ในช่วงยุคอาณาจักรโชซอนเป็นจุดหักเหที่สำคัญของการเปลี่ยนแปลงฮันบก
แม้จะค่อยๆมีการเปลี่ยนไปอย่างทีละเล็กละน้อยก็ตาม
อย่างเสื้อชอกอรีของสตรีมีการทำให้สั้นลงและให้กระชับกับผู้สวมใส่มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
ช่วงกลางศตวรรษที่
16 ถึงกลางศตวรรษที่ 17 เสื้อชอกอรีมีขนาดตัวเสื้อยาวมากสุดถึง 78 เซนติเมตร
(วัดตั้งแต่ไหล่ลงมา) แต่พอในปี ค.ศ.1650
สตรีได้เริ่มมีการตัดเย็บและสวมใส่ชอกอรีที่สั้นและสั้นลงเรื่อยๆ จนถึง ช่วงปลายศตวรรษที่
19 เหลือความยาว (ที่วัดจากไหล่ลงมา) แค่เพียงประมาณ 20 เซนติเมตรเท่านั้น
เครื่องแต่งกายในสมัยโชซอนนอกเหนือจากที่มีการแบ่งรูปแบบของเครื่องแต่งกายตามวรรณะ
ตามฐานะทางสังคม หรืออาชีพแล้ว ยังมีชุดที่เป็นเครื่องแบบที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมต่างๆในความเชื่อของลัทธิขงจื้ออีกด้วย
เช่น ชุดในพิธีแต่งงาน ชุดสำหรับไว้ทุกข์ให้กับผู้ตาย และชุดในพิธีต่างๆของราชสำนัก
ช่วงยุคปลายของอาณาจักรโชซอน
เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ดีขึ้น ผู้คนเริ่มมีการศึกษาเล่าเรียน
มีความรู้ มีสติปัญญามากกว่าเมื่อก่อน
ทำให้เริ่มไม่พอใจกับระบบขุนนางและเริ่มมีการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองมากขึ้น
ทำให้เริงโรมที่เป็นสถานที่ให้ความบันเทิงได้รับความนิยมมากของพวกขุนนาง
และชายหนุ่มที่มีฐานะเข้าสังสรรค์ดื่มกินและสนทนาทางการเมืองกัน
ในช่วงนี้เองสตรีในเริงโรม หรือที่รู้จักกันในชื่อ “기생- (กีแซง)” มีการแข่งขันกันสูงเพื่อให้ตนมีชื่อเสียง และได้รับเลือกให้ปรนนิบัติขุนนางชั้นสูง
ส่งผลให้ชุดฮันบกเริ่มมีการปักลวดลายให้สวยงามมากขึ้น
ประกอบกับเริ่มมีการเดินทางติดต่อค้าขาย และไปศึกษาหาความรู้ในต่างประเทศ รวมไปถึงการเข้ามาของพวกมิชชันนารี
และทางการทูตกับเปอร์เซีย จีนและญี่ปุ่น ทำให้มีผ้าชนิดต่างๆ
ที่มีลวดลายและสีสันสวยงามมาใช้ในการตัดเย็บชุดฮันบกมากขึ้น
รวมถึงเครื่องประดับต่างๆที่เข้ามาจากต่างประเทศ
ประกอบกับการปรับความยาวของเสื้อชอกอรีที่สั้นลงจนเหลือความยาว
(ที่วัดจากไหล่ลงมา) แค่เพียงประมาณ 20 เซนติเมตร
ซึ่งมีความยาวไม่เพียงพอที่จะปิดคลุมหน้าอกได้มิดชิด จึงได้มีการเปลี่ยนให้ขอบกระโปรงชีมาที่จากเดิมสวมใส่และผูกไว้บริเวณเอวให้ย้ายขึ้นมาสวมใส่และผูกไว้ให้ใต้หน้าอกแทน
และได้นำชิ้นผ้าที่เรียกว่า "허리띠-Heoritti (ฮอรีตี แปลว่า
ผ้าคาดเอว หรือแถบผ้าตรงส่วนเอวของกระโปรงหรือกางเกง)" มาพันรอบอกและผูกไว้
ซึ่ง “ฮอรีตี” ในตอนแรกนั้นจะเป็นชิ้นผ้าสีขาวธรรมดาๆ "허리띠-Heoritti
(ฮอรีตี)" ซึ่งต่อมาก็เริ่มใช้ผ้าสี และการปักลวดลายลงบนตัวชิ้นผ้า
การแต่งกายเช่นนี้ได้เผยเห็นขนาดของหน้าอก และรูปร่างของสตรีมากขึ้น
แม้ในตอนแรกจะการปรับเปลี่ยนกันเฉพาะในกลุ่มของกีแซงก็ตาม
แต่เมื่อสตรีอื่นได้พบเห็นเข้าบ่อยๆก็ได้ซึมซับเอาไปปฏิบัติ
และด้วยอิทธิพลของงานศิลปะของต่างชาติที่เข้ามาก็ทำให้ชาวเมือง
หรือช่างฝีมือชาวโชซอนได้รู้จักและเรียนรู้เพื่อทำและผลิตขึ้นใช้เองหรือขายเองในราคาที่ถูกกว่า
ทำให้ผู้ที่ไม่ได้มีฐานะมากนัก ก็สามารถที่มีฮันบกและเครื่องประดับที่สวยงามมาสวมใส่ได้ในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ได้นำเอาการปักลวดลายลงบนตัวผ้า
และสีของผ้ามาใช้เพื่อบ่งบอกชนชั้นและตำแหน่งในแต่ละอาชีพ แต่ละแผนกงานในราชสำนักอีกด้วย
อย่างไรก็ดีด้วยเหตุผลบางประการ
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา สตรีชนชั้นล่างหยุดการสวมใส่ “ฮอรีตี” ปิดบังหน้าอก
แน่นอนว่าได้มีคำถามต่อๆกันมา ว่า “ทำไมสตรีกลุ่มนี้ถึงไม่ปิดบังหน้าอก?” ฮันฮีซุค
ผู้ที่เขียนหนังสือ “Women’s Life
during the Chosŏn Dynasty-ชีวิตของสตรีในช่วงราชวงศ์โชซอน"
ได้กล่าวถึงสาเหตุไว้ว่า
“อีกหนึ่งที่เป็นหน้าที่ที่สำคัญของสตรีสามัญธรรมดาหรือสตรีที่เกิดในตระกูลชั้นล่าง
ก็คือ การให้กำเนิดและเลี้ยงดูแลบุตรชาย นั่นเอง โดยในสมัยนั้นถ้าสตรีผู้ใดให้กำเนิดบุตรชายถือเป็นเรื่องน่ายกย่องสรรเสริญมาก
ซึ่งสตรีที่อยู่ในชนชั้นดังกล่าวนี้จึงพยายามสวมใส่รูปแบบการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อแสดงให้เห็นว่า
ได้ให้กำเนิดบุตรชายหรือมีบุตรชายแล้ว
เพราะสตรีในชนชั้นล่างที่ไม่มีความรู้หรืออาชีพฐานะทางสังคมใดๆเลย
มีเพียงการให้กำเนิดทายาทชายให้กับสามีเท่านั้น ที่ทำให้พวกเธอมีเกียรติ
อันน่าภาคภูมิใจ และได้รับการยอมรับจากครอบครัวของสามีได้ ซึ่งโดยทั่วไปนั้นจะ
เผยให้เห็นหน้าอกของพวกเธอ
การปฏิบัติดังกล่าวดูเหมือนจะจำกัดแค่เพียงเฉพาะสตรีชนชั้นธรรมดาสามัญหรือสตรีที่เกิดในตระกูลชั้นต่ำเท่านั้น
ซึ่งมีการถือปฏิบัติสืบต่อกันมาถึงในช่วงปลายปี 1950 ” (http://blog.daum.net/ds3dsq/190)
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โชซอนถูกต่างชาติเข้ามารุกรานมากมาย
บ้างก็เพื่อเรียกร้องสิทธิพิเศษทางการค้า และยังมีการเข้ามาเพื่อพยายามเผยแพร่ศาสนาคริสต์อีกเป็นจำนวนมากซึ่งในสมัยนั้นยังไม่ได้รับการยอมรับ
จึงมีคำสั่งให้สังหารมิชชันนารีชาวฝรั่งเศสหลายคน และเมื่อฝรั่งเศสทราบข่าวจึงตัดสินใจบุกหวังจะยึดเมืองโชซอน
ต่อมาก็เกิดเหตุการณ์ Gapsin Coup (ค.ศ.1884) และ Gabo
Reform (ค.ศ.1894) ซึ่งขณะนั้นปกครองโดยพระเจ้าโกจง แห่งราชวงศ์โชซอน
เป็นเหตุการณ์ความขัดแย้ง-ต่อสู้อย่างรุนแรงระหว่างขุนนางกับพระราชินีที่พระนางทรงต้องการพัฒนาประเทศตามแบบตะวันตกและต้องการเปิดประเทศซึ่งขัดแย้งกับขุนนางที่มีความคิดแบบอนุรักษ์นิยม
และแม้เหตุการณ์นี้จะผ่านไปด้วยดี แต่ญี่ปุ่นที่กลายเป็นชาติที่มีอิทธิพลมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลังการปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ในสมัยเมจิ (ค.ศ.1868) ก็มีความคิดที่จะครอบครองโชซอน และเข้ามารุกรานอย่างต่อเนื่อง ทำให้สตรีชาวโชซอนในสมัยนั้นเริ่มนำ “장옷 (ชาง-อท)” , “쓸치마 (ซึลชีมา) หรือ 쓰개치마 (ซือแกชีมา)” หรือ “너울
(นออูล)”มาใช้เพื่อปิดบังใบหน้ากันเป็นจำนวนมาก
และหันกลับมาสวมใส่เสื้อชอกอรีที่ยาวขึ้น แม้แต่สตรีผู้ให้ความบันเทิงอย่าง “กีแซง” เองก็เริ่มหันมาปกปิดเลือนร่าง และหน้าตาเช่นเดียวกัน
เพื่อปกป้องตนจากการข่มเหงรังแกของทหารญี่ปุ่น หรือชาวต่างชาติที่เข้ามาคุกคามประเทศนั่นเอง
- ยุคล่าอาณานิคมของญี่ปุ่น
(ค.ศ. 1910–1945)
และ สงครามเกาหลี (1950 -1953)
ต่อมาในช่วงยุคล่าอาณานิคมของญี่ปุ่น
ผู้ที่มีฐานะ และอยู่ในชนชั้นสูงเริ่มมีความต้องการที่จะสวมใส่เครื่องแต่งกายที่ทันสมัยมากขึ้น
จึงมีการออกแบบปรับสไตล์ของฮันบกใหม่มาใช้
โดยมีการจับคู่กระโปรงชีมาที่สั้นกว่าเมื่อก่อนสวมกับเสื้อชอกอรีสีขาว
ในเวลาเดียวกันนั้นเองวัฒนธรรมของชาวตะวันตกได้เข้ามา
บวกกับการติดต่อซื้อขายสินค้า เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายอื่นๆของชาวตะวันตกในเกาหลีสมัยนั้น
ทำให้เกิดค่านิยมการแต่งกายแบบชาวตะวันตก ส่งผลให้การสวมใส่ฮันบกจากเดิมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงตามกระแสแฟชั่น
และหันไปสวมใส่เครื่องแต่งกายแบบชาวตะวันตกกันมากขึ้น
และการสวมใส่ฮันบกในชีวิตประจำวันก็ได้เริ่มเลือนหายไปในปี
1960 จะสวมใส่กันก็ต่อเมื่อเป็นวันเทศกาลหรือในโอกาสพิเศษ
เช่น วันปีใหม่ งานแต่งงาน เป็นต้น
--------------------------------
ซอน อินจู (แปล&เรียบเรียง)
- Asian Castle -
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น